วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษ เนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย
  เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง
เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4. วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือ หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1
ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5.  การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น
ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6. แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดในช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน
ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่
และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้
อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ
เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น
หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์
และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา
ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16. การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี
เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ
รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น
เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้น
อย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก
จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมส์ที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ
เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24. ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ
ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

7 สมุนไพรบำรุงผิวหน้า และผิวกาย

คนไทยสมัยโบราณนิยมใช้สมุนไพรมาเป็นเครื่องประทินความงาม จนกระทั่งหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 เริ่มมีการผลิตเครื่องสำอางเป็นอุตสาหกรรม มีการค้นพบสารสังเคราะห์ รูปแบบต่างๆ ของเครื่องสำอางที่หลากหลาย แต่ในปัจจุบันได้มีการนำสารจากธรรมชาติมาใช้เป็นเครื่องสำอาง เพื่อลดอันตรายและอาการแพ้จากสารสังเคราะห์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยสมุนไพรที่นิยมนำมาทำเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางมีอยู่ด้วยกัน 7 ชนิดคือ

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้ คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผม ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีเครื่องสำอางหลายชนิดที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะบอลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ นอกจากนี้ยังสามารถลดความแห้งกร้านและลดความมันของผิวหน้าได้


สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
ส่วนผสม ว่านหางจระเข้

วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
หมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า





2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L)
เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วยประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน


เคล็ด(ไม่)ลับกับน้ำมันงา

ใช้น้ำมันงาประกอบอาหารรับประทานเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดหัวใจตีบตัน และอาการท้องผูก

น้ำมันงา ใช้ลดการหมักหมมในช่องท้อง โดยทานน้ำมันงาดิบ ๆ 1 ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ขณะท้องว่าง เพื่อให้ลำไส้ขับสิ่งที่หมักหมมอยู่ออกไป

น้ำมันงา ใช้ทาผมจะทำให้ผมดำเป็นมันวาว ไม่แห้งแตกปลาย และใช้ทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้น ลดรอยหยาบกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง

น้ำมันงาใส่ขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย โดยใช้ขิงสดขูดละเอียดผสมกับน้ำมันงาในปริมาณเท่ากัน จุ่มผ้าฝ้ายลงในส่วนผสมนี้ นำมาถูนวดบริเวณที่ปวดเมื่อย

ใช้กระเทียมสับผสมน้ำมันงา รักษาโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน เรื้อนกวาง ทาบริเวณที่มีอาการ

น้ำมันงาผสมน้ำปูนใส ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากน้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี ใช้น้ำมันงา 1 ส่วน น้ำปูนใส 1 ส่วน ตีให้เข้ากันจนเป็นครีมขาว เอาผ้าขาวบางที่สะอาดจุ่มแล้วแปะไว้บริเวณที่เป็นแผล

แก้ปัญหาผมร่วง ใช้น้ำมันงาเคี่ยว ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาทาบริเวณที่ผมร่วง วันละหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งผมเริ่มขึ้น

น้ำมันงา ใช้นวดบรรเทาอาการช้ำบวม ให้ทาน้ำมันงาแล้วนวดเบา ๆ รอบ ๆ บริเวณ จะทำให้ตรงที่ช้ำบวมหายเร็วขึ้น

เป็นหวัด แพ้อากาศ ให้รับประทานงาเป็นประจำ (ทานช่วงเช้า ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) จะทำให้หายใจโล่ง อาการดีขึ้น

ฤทธิ์ระบายท้องของงา ช่วยลดอาการอักเสบของหัวริดสีดวง ช่วยห้ามเลือดจากหัวริดสีดวง และน้ำมันงายังใช้ทาหัวริดสีดวง แก้ริดสีดวงอักเสบได้ด้วย





3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)
จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

สรรพคุณ สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
ส่วนผสม แตงกวา 1 ผล ไข่ขาวจากไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นให้ละเอียด เติมไข่ขาวและน้ำมะนาวปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ครีมพอกหน้าแตงกวา

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ใช้ครีมแตงกวาพอกให้ทั่วหน้า ยกเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้เหมาะ กับคนผิวมัน สำหรับคนผิวแห้ง ให้นำแตงกวาไปตุ๋นจนเละแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำมาทาหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด






4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)

ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

สรรพคุณ สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ผล รำข้าวหรือข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตคนให้เข้ากัน

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งพอกครีมมะเขือเทศทิ้งไว้นานเท่าที่มีเวลาแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ในมะเขือเทศมีวิตามินเอมาก ซึ่งเป็น วิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำมัน การใช้รำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม เพื่อให้น้ำมันในรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นตัวพาวิตามินเอเข้าสู่เซลผิวหน้าได้ดีกว่า การฝานมะเขือเทศมาแปะหน้าเพียงอย่างเดียว สูตรนี้ใช้ได้ทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน






5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)
ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย


สูตรผสม ขมิ้นสด (เล็กน้อย) ดินสอพอง 2-3 เม็ด มะนาว 1 ผล

วิธีผสม นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาว จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียวใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้มะนาว จะทำให้ผิวนวลเนียนขึ้นสามารถสัมผัสได้ และเมื่อผสมรวมกันกับผักแว่น ก็จะยิ่งทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด





6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata)
ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอางค์ ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

สรรพคุณของน้ำผึ้ง

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ




7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)
มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้


สรรพคุณ บำรุงผิว ลบรอยเหี่ยวย่น ตีนกา
ส่วนผสม มะขามเปียก 1 กำมือ นมสดรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ มะขามเปียกแกะเม็ดเอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาดผสมกับนมแล้วขยำให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนตาละเอียด เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากันก็จะได้ครีมมะขามเปียก ใส่ภาชนะมีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็น
วิธีใช้ ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ทาครีมมะขามเปียกทิ้งไว้ 10 นาที ล้างด้วยน้ำสะอาด สูตรข้างต้นนี้เหมาะกับคนผิวมัน ถ้าคนผิวแห้งให้ลดมะขามเปียก เพิ่มปริมาณนมสดกับน้ำผึ้งให้มากขึ้น


วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ต้นไม้ประจำจังหวัดประเทศไทย 77 จังหวัด

ต้นไม้ประจำประเทศไทยคือ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ

        
        


  ต้นไม้ประจำแต่ละจังหวัดกำหนดให้มีต้นไม้ประจำจังหวัด เมื่อ 1 กพ. 2537


   ภาคเหนือ   

1. กำแพงเพชร  สีเสียดแก่น   ชื่ออื่น สีเสียดเหนือ หรือสะเจ

2. เชียงราย    กาสะลองคำ ชื่ออื่น ปิ่นทอง สะเภา อ้อยช้าง จางจืด สำเภาหลามต้น

3. เชียงใหม่ ทองกวาว  ชื่ออื่น ก๋าว กวาว จอมทอง จ้าจาน                                  

4. ตาก   แดง   ชื่ออื่น ปรน สะกรอม ตะกร้อม เพร่ จาลาน คว้าย ไคว หรือกร้อม

5. นครสวรรค์  เสลา      ชื่ออื่น  เกรียบ ตะเกรียบ ตะแบกขน เสลาใบใหญ่

6. น่าน   กำลังเสือโคร่ง  ชื่ออื่น กำลังพญาเสือโคร่ง 

7.  พะเยา  สารภี          ชื่ออื่น สารภีแนน  สร้อยพี

8. พิจิตร   บุนนาค        ชื่ออื่น  ปะนาคอ นาคบุตร สารภีดอย ค้ำก่อ ก๊า ก่อ

9.  พิษณุโลก   ปีบ       ชื่ออื่น  กาซะลอง

10. เพชรบูรณ์  มะขาม  ชื่ออื่น หมากแกง ตะลูบ ขาม

11.  แพร่  ยมหิน         ชื่ออื่น ยมขาว สะเดาช้าง มะเฟืองช้าง โด้โย่ง เสียดค่าย

12. แม่ฮ่องสอน   กระพี้จั่น

13. ลำปาง ขะจาว ชื่ออื่น กาซาว กระเจา กัเขา กะเซาะ กระเช้า กาจอ มหาเหนียว

14. ลำพูน  จามจุรี  ชื่ออื่น ก้าวปู ก้ามกุ้ง ก้ามกราม ฉำฉา สารสา  ลัง

15. สุโขทัย  มะค่าโมง  ชื่ออื่น มะค่าหลวง มะค่าใหญ่ 


      ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

16. กาฬสินธุ์  มะหาด          ชื่ออื่น  หาดหนุน หาด ปาแต

17. ขอนแก่น กัลปพฤกษ์      ชื่ออื่น กานส์

18. ชัยภูมิ  ขื้เหล็กบ้าน       ชื่ออื่น ขี้เหล็กใหญ่ ขี้เหล็กหลวง ขี้เหล็กแก่น ยะทา

19. นครพนม    กันเกรา       ชื่ออื่น ตำเสา ทำเสา มันปลา  

20. นครราชสีมา  สาธร ชื่ออื่น  กระเจ๊า ขะเจ๊าะ

21. บุรีรัมย์  กาฬพฤกษ์

22. มหาสารคาม พฤกษ์  ชื่ออื่น มะรุมป่า มะขามโคกซีก

23.มุกดาหาร ช้างน้าว ชื่ออื่นช้างโหม ช้างโน้ม กำลังช้างสาร ขมิ้นพระต้น ตาลเหลือง

24. ยโสธร  กระบาก       ชื่ออื่น กระบากขาว กระบากดำกระบากโคก กระบากช่อ

25. ร้อยเอ็ด  กระบก       ชื่ออื่น  ตระบก จะบก หมากบก มื่น มะลื่น หมักลื่น

26. เลย  สนสามใบ        ชื่ออื่น สนเขา จ๋วง เกี๊ยะเปลือกบาง เกี๊ยะเปลือกแดง

27. ศรีสะเกษ ลำดวน       ชื่ออื่น หอมนวล

28. สกลนคร   อินทนิลน้ำ ชื่ออื่น อินทนิล ตะแบกดำ

29. สุรินทร์  มะค่าแต้       ชื่ออื่น มะค่าหยุ่ม มะค่าหนาม แต้

30. หนองคาย ชิงชัน       ชื่ออิ่น ประดู่ชิงชัน ดู่สะแตน

31. หนองบัวลำภู  พะยูง    ชื่ออื่น แดงจีน ประดู่เสน ขะยูง

32. อำนาจเจริญ  ตะเคียนหิน ชื่ออื่น ตะเคียนทราย เหลาเดา

33. อุดรธานี  รัง     ชื่ออื่น เปา เปาดอกแดง ฮัง เรียงพนม

34. อุบลราชธานี  ยางนา ชื่ออื่น ยางตัง ยางแม่น้ำ ยางซษว ยางควาย ชันนา ทองหลัก


            ภาคตะวันตก

35.  เพชรบุรี    หว้า  ชื่ออื่น หัวขี้แพะ

36. ราชบุรี โมกมัน ชื่ออื่น มูกมัน มักมัน มูกน้อย

37. ลพบุรี   พิกุล  ชื่ออื่น  ซางดง  กุน  แก้ว

38. สมุทรปราการ  โพทะเล  ชื่ออื่น ปอมัดไซปอกะหมัด ไพร บากุ

39. สมุทรสงคราม จิกทะเล  ชื่ออื่น โคนเล

40. สมุทรสาคร สัตบรรณ  ชื่ออื่น พญาสัตบรรณ  ตีนเป็ด หัสบรรณ   

41. สระบุรี ตะแบก ชื่ออื่น  ตะแบกไข่ ตะแบกนา เปื่อยหางด่าง เปื่อยนา

42. สิงห์บุรี  มะกล่ำต้น  ชื่ออื่น  มะกล่ำตาช้าง มะโหดแดง มะหัวแดง

43. สุพรรณบุรี  มะเกลือ  ชื่ออื่น มะเกลื้อ ผีเผา

44. อ่างทอง  มะพลับ  ชื่ออื่น พลับ มะพลับใหญ่ ตะโกสวน


           ภาคกลาง

45. กรุงเทพมหานคร  ไทรย้อยใบแหลม ชื่นอื่น ไทรย้อย ไทรกระเบื้อง

46. กาญจนบุรี  ขานาง  ชื่ออื่น ค่านาง ช้างเผือกหลวง ลิงง้อ เปลือย

47. ฉะเชิงเทรา  นนทรี ชื่ออื่น ร้าง คางรุ้ง ช้าชม อะราง ละล้าง

48. ชัยนาท มะตูม ชื่ออื่น ตูม มะปี่ส่า ตุ่มดัง กะทันตาเถร

49. นครนายก  สุพรรณิการ์ ชื่ออื่น ฝ้ายคำ

50. นครปฐม  จันทร์หอม ชื่ออื่น จันทร์ขาว จันทร์พม่า จันทร์ชะมด  จันทร์

51. นนทบุรี   นนทรี  ชื่ออื่น  กระถินแดง กระถินป่า สารเงิน

52. ปทุมธานี  ทองหลางลาย ชื่ออื่น ปาริฉัตร ปาริชาติ ทองบ้าน ทองหลางลาย

53. ประจวบคีรีขันธ์  เกด ชื่ออื่น ครินี โรนี

54. ปราจีนบุรี  โพศรีมหาโพธิ์  ชื่ออื่น สลี ย่อง ปู โพ

55. พระนครศรีอยุธยา  หมัน


            ภาคตะวันออก

56. จันทบุรี  จัน ชื่ออื่น จันขาว จันลูกหอม จันอิน

57.  ชลบุรี  ประดู่ป่า  ชื่ออื่น  ประดู่เสน ดู่

58. ตราด  หูกวาง  ชื่ออื่น หลุมปัง ดัดมือ

59. ระยอง สารภีทะเล  ชื่ออื่น ทิง กระทิง เนาวกาน


             ภาคใต้

60. กระบี่   ทุ้งฟ้า            ชื่ออื่น ทุ่งฟ้าไก่ พวงพร้าว

61. ชุมพร   มะเดื่อชุมพร     ชื่ออื่น มะเดื่อ

62. ตรัง   ศรีตรัง               ชื่ออื่น  แคฝอย

63. นราธิวาส ตะเคียนชันตาแมว   ชื่ออื่น ตะเคียนชัน

64 นครศรีธรรมราช  แซะ         ชื่ออื่น กะแซะ

65. ปัตตานี  ตะเคียนทอง      ชื่ออื่น ตะเคียนใหญ่ จะเคียน แคน โกกี้

66. พังงา  เทพทาโร      ชื่ออื่น พลุต้นขาว จางหอม จะโคหอม จะโคต้น

67. พัทลุง  พะยอม        ชื่ออื่น  พะยอมแดง พะยอมทอง ขะยอม แคน

68. ภูเก็ต  ประดู่บ้าน      ชื่ออื่น   ประดู่กิ่งอ่อน อังสะนา

69. ยะลา  โศกเหลือง     ชื่ออื่น  โสกน้ำ ศรียะลา โสกใหญ่  โสกป่า

70. ระนอง อบเชย          ชื่ออื่น สมุลแว้ง มหาปรามฝนแสนห่า เชียกใหญ่

71. สงขลา สะเดาเทียม    ชื่ออื่น  สะเดาช้าง  สะเดาเทียม

72. สตูล  กระซิก            ชื่ออื่น  ซิก ครี้ สรี้

73. สุราษฏร์ธานี เคี่ยม      ชื่ออื่น เคี่ยมดำ เคี่ยมแดง   เคี่ยมขาว

74.  อุตรดิดถ์                  ต้น สัก          

75.  อุทัยธานี                  ต้น สะเดา        

76.   สระแก้ว                  ต้น มะขามป้อม


  
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


77. บึงกาฬ                ต้นสิรินธรวัลลี

พักร้อน 10 หาดสวย ทะเลใส (ไม่ไกลกรุง)



1. หาดจอมเทียน พัทยา มีดีไม่แพ้ใคร
ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่ หาดจอมเทียนได้ชื่อว่าเหมาะสำหรับวันหยุดพักผ่อนเป็นอย่างดี ด้วยระยะทางเพียง 4 กิโลเมตรจากตัวเมืองพัทยามาทางทิศใต้ คุณจะได้เห็นหาดทราบสีนวลสะอาดตาทอดยาวกว่า 6 กิโลเมตร หาดจอมเทียนเดิมชื่อว่าหาดดงตาล เพราะมีต้นตาลตลอดแนว ถนนร่วมรื่นรอบชายหาดเต็มไปด้วยร้านอาหารทะเลและร้านค้า นอกจากนี้ยังมีโรงแรมรีสอร์ตสำหรับการมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากใครอยากสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ กระดานโต้คลื่น เจ็ตสกี สกูตเตอร์ บานานาโบ๊ต วินด์เซิร์ฟ ฯลฯ ก็มีบริการที่นี่ แต่ถ้าแค่อยากมานอนพักผ่อนรับลมทะเลก็มีเตียงผ้าใบพร้อมชายหาดไว้คอยบริการ
การเดินทาง: จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 บางนา-ตราด ขับไปจนถึงบ้านนาเกลือ ตรงหลักกิโลเมตรที่ 150 แยกขวาเข้าพัทยา เลยจากตัวเมืองพัทยาไปทางด้านทิศใต้อีก 4 กิโลเมตรก็จะถึงหาดจอมเทียน
2. เกาะล้าน ไปกี่ครั้งก็ยังสวย
ถ้าใครมาเที่ยวพัทยาและปักหลัง กิน ดื่ม เที่ยว อยู่แต่บนฝั่ง ขอบอกว่าคุณกำลังพลาดความงามที่นึกไม่ถึง เพราะแค่นั่งเรือข้ามออกไปจากฝั่งไปราว 40 นาที ประมาณ 7 กิโลเมตร คุณจะมาถึงเกาะล้าน เกาะที่มีชายหาดขาวและน้ำทะเลใสแจ๋วราวกระจกให้แหวกว่ายเล่น สำหรับหาดที่สวยบนเกาะล้านต้องยกให้หาดแสม ชายหาดขนาดกะทัดรัด ค่อนข้างเงียบสงบ มีเก้าอี้และเตียงชายชายหาดสีสันสดใสวางทอดยาวบนชายหาดสีขาวสะอาด ให้มานอนเล่น อาบแดด อ่านหนังสือ จิบน้ำมะพร้าวเพลินๆ ทะเลสีเขียวอ่อน ก็สามารถลงเล่นได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัย เพราะมีทุ่นแบ่งเขตว่ายน้ำเพื่อป้องกันอันตรายแก้นักท่องเที่ยว หรือใครอยากสนุกจะเช่าสนามเด็กเล่นในน้ำ ปีนป่ายแพยางหลากหลายรูปแบบ หรือจะเช่าบานานาโบ๊ต หรือเจ็ตสกีก็มีให้บริการ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ใกล้เคียงเช่น หาดตาแหวนอยู่ทางเหนือของเกาะ มีโค้งหาดทรายยาวสวย มีกิจกรรมทางทะเลมากมาย และร้านค้าเพียบ หาดอื่นๆ ก็เช่น หาดแหลมเทียน หาดตาพัน หาดนวล หาดทองหลาง รวมถึงหมูเกาะใกล้เคียงที่มีปะการังสวยงาม เช่น เกาะครกและเกาะสาก ซึ่งทั้ง 2 เกาะสามารถดำน้ำได้ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้นสามารถเดินทางไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้อย่างสบาย หรือจะนอนค้างแรมสักคืนสองคืนก็ได้
การเดินทาง: เมื่อมาถึงพัทยา เดินทางไปที่แหลมบาลีไฮ ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไปเกาะล้าน (ถ้ามาจากกรุงเทพฯเลี้ยวไปทางพัทยาใต้) มีรถรับฝากถ้าจะจอดค้างคืน หรือที่จะไปเกาะล้านมีให้บริการอยู่หลายเจ้า ถ้าไปลงหาดตาแหวน หรือหาดหน้าบ้าน ราคาคนละ 20 บาท แล้วไปต่อมอเตอร์ไซต์ คนละ 40 บาทต่อเที่ยว ถ้าไปลงหาดแสม ไป-กลับคนละ 150 บาท มีเรือให้บริการตั้งแต่ 08.00-18.30 น. ออกเดินทางทุก2 ชั่วโมง และมีเรือเร็วให้เช่าไปที่เกาะด้วย
3.เกาะเสม็ด สวรรค์วันพักผ่อน
เกาะเสม็ดแห่งทะเลระยอง เป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งที่หลายคนเลือกไปเยือน เพราะเดินทางสะดวก ที่พักสบาย มีให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะหาดทรายขาวและน้ำใสสีเขียวครามสะอาดตา เกาะเสม็ดเป็นเกาะขนาดกลาง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานเขาแหลมหญ้า-เกาะเสม็ด ต้องเสียค้าเข้าชมอุทยานด้วย (ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท) โดยลงเรือเมล์จากฝั่งบ้านเพจะใช้เวลาวิ่งราว 30-40 นาที ถึงท่าเรือหน้าด่านใกล้ๆ กับอ่าวป้าช้าทางส่วนเหนือสุดของเกาะ แล้วเราเริ่มเดินหรือเหมาสองแถวไปเที่ยวกันได้เลย ส่วนเหนือของเกาะเป็นศูนย์รวมความเจริญบนเกาะ มีท่าเรือใหญ่ ตลาด และด่านเก็บเงินของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ถัดมาตะวันออก จะพบหาดทรายแก้วทอดยาวขาวสะอาด มีร้านรวงรีสอร์ตและกิจกรรมทางน้ำครบครัน เริ่มตั้งแต่การเล่นน้ำใส ขับเจ็ตสกี นั่งเรือกล้วย แล่นเรือใบ เล่นกีฬาชายหาด ถัดจากหาดทรายแก้วไปจนถึงปลายตะวันออกของเกาะก็มีอ่าวเล็กๆ อีกกว่า 10 อ่าว ที่เดินถึงกันได้อย่างสะดวก สามารถลงเล่นน้ำ กินอาหาร แล้วชมทัศนียภาพภาพของทะเลไปเรื่อยๆ เช่น อ่าวไผ่ อ่าวทับทิม อ่าวนวล อ่าวช่อ อ่าวลุงดำ เป็นต้น อ่าววงเดือนที่อยู่กึ่งกลางเกาะเสม็ดก็มีสีสันคึกคักไม่แพ้หาดทรายแก้ว ส่วนอ่าวลุงดำ ก็เป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดบนเกาะนี้ก็ว่าได้ อยู่บนเกาะเบื่อๆ จะเช่าเรือออกไปดำน้ำชมปะการังแถวๆ หน้าอ่าวหวาย อ่าวเทียน อ่าวปะการังก็ได้ หรือแล่นเรือออกไปดำน้ำแถวๆ เกาะจันทร์ เกาะทะลุ และเกาะกฎี ที่รับรองว่าสภาพธรรมชาติยังบริสุทธ์อยู่มาก
การเดินทาง: รถยนส่วนตัว ใช้ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) ผ่านจังหวัดระยองตรงไปอีก 19 กิโลเมตร จะถึงท่าเรือบ้านเพ หรือจะเลี้ยวขวาตรง กม. 238 เข้าสู่ถนนเลียบหาด ก็ตรงสู่ท่าเรือบ้านเพได้เช่นกัน แล้วฝากรถไว้ที่ท่าเรือได้  รถประจำทางมีรถออกทุกวันที่สถานีขนส่งเอกมัย ใช้เวลาวิ่งประมาณ 3 ชั่วโมง
4. หาดเจ้าหลาว สนุกวัน สนุกคืน
เดินทางไปไกลอีกนิดเราจะเจอกับหาดเจ้าหลาว หาดที่เงียบสงบและมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่ที่แหลมเสด็จห่างจากอำเมืองไปประมาณ 27 กิโลเมตร หาดทรายละเอียดสีแดงยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา ทิวมะพร้าวทิวสนสลับกับรีสอร์ตน้อยใหญ่ เรียงรายตลอดแนว ยิ่งช่วงแดดร่มลม การนั่งเล่นชิลล์ๆ บนเตียงผ้าใบรอพระอาทิตย์ขอบฟ้าช่างได้บรรยากาศโรแมนติกเสียจริงๆ หากชื่นชอบการชมทิวทัศน์ จุดชมวิวทะเลบริเวณสันเขาสามารถมองเห็นหาดเจ้าหลาวได้เต็มตา หรือจะออกไปดำน้ำชมปะการังน้ำตื่นก็ได้ ตกกลางคืนยังมีกิจกรรมนั่งเรือได้หมึกที่น่าตื่นเต้น กินหมึกกันสดๆ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจี๊ดก็เด็ดอย่าบอกใคร
การเดินทาง: จากถนนสุขุมวิท ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี ถึงกิโลเมตรที่ 301 มีทางแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 3399 และจะพบป้ายทางแยกหาดเจ้าหลาว อีกเส้นทางหนึ่ง คือ จากตัวเมืองเดินทางไปยังอำเภอท่าใหม่ ระยะทาง 17 กิโลเมตร ต่อด้วยเส้นทางที่ไปเขื่อนวังโตนด แล้วขับเลยไปจนถึงชายทะเลได้เช่นกัน หรือจากถนนสุขุมวิท ตรงหลักกิโลเมตรที่ 302 ไปตามทางหลวงหมายเลข 3399 เมื่อถึงบ้านหมูดุดจะพบสามแยกให้เลี้ยวซ้าย จะเห็นป้ายบอกทางไปหาดเจ้าหลาว ระยะทาง 3 กิโลเมตร
5.เกาะช้าง จ. ตราด ไม่เคยร้างความสนุก
เกาะขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศน้องๆ จากจังหวัดภูเก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนักและหลายคนนึกถึงแม้จะมีเวลาหยุดเพียงวันเสาร์อาทิตย์เพียง 20 นาที จากท่าเรือธรรมชาติก็มาถึงเกาะช้าง โดยแบ่งเกาะช้างเป็นสองฝั่ง คือด้านตะวันออกที่เงียบสงบ เป็นแหล่งชุมชนคนท้องถิ่น และมีชายหาดที่เล่นน้ำได้ไม่มากนัก ส่วนด้านตะวันตกของเกาะนั้นเป็นชายฝั่งที่มีชายหาดให้เล่นน้ำเกือบเหนือจรดใต้ มีชายหาดที่เชิดหน้าชูตา คือ หาดทรายขาว หาดคลองพร้าว และหาดไก่แบ้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย เช่น ดำน้ำชมปะการัง หรือจะดินเนอร์ใต้แสงเทียนริมหาดทรายยามค่ำคืนสนุกไม่น้อยเลย
การเดินทาง: ท่าเรือเฟอรี่จากตราดสู่เกาะช้าง มี 2 ท่า ท่าเรือธรรมชาติ โทร. 0-3951-8589 ท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อยด์โทร. 0-3953-8196 การเดินทางมาเที่ยวเกาะช้างมีถนนเพียงเส้นเดียวรอบเกาะเอารถยนต์ข้ามมาใช้ได้สะดวก และเติมน้ำมันรถมาให้เพียงพอ หรือจะใช้บริการสองแถวก็สะดวกดี แต่ถ้าจะเช่ามอเตอร์ไซต์ขับกินลมชมวิว ก็ต้องขับช้าๆ และพกสติไปด้วยตลอดเวลา เพราะถนนบางช่วงแคบและปริมาณรถคับคั่ง เกิดอุบัติเหตุเป็นประจำ ส่วนที่พักนั้นหาได้ตั้งแต่ระดับบังกาโล ห้องน้ำรวม ไปจนถึงระดับห้าดาว
6.ชะอำ สนุก คึกคักใกล้กรุง
หาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นชายหาดที่สวยงาม และมีชื่อเสียง ถนนที่เลียบชายหาดขาวนวลยาวเหยียด เรียงรายไปด้วยแนวต้นสน สนุกสนานไปกับการเล่นน้ำทะเลใส ซื้อของกินในราคาไม่แพง ซึ่งจะมีพ่อค้าแม่ค้ามาหาบขายตลอดเวลา มีเตียงผ้าให้นั่งเล่น นอนยาวตลอดแนวชายหาดหาด เต็มไปด้วยที่พักมากมายหลายระดับให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้ บริการตาม ความสะดวก ทั้งแบบราคาย่อมเยาว์ไปจนถึงที่พักหรูราคาแพง ถนนเลียบชายหาดนั้นสามารถเช่าจักรยานปั่นกินลมชมวิวไปตามชายหาดได้อย่าง เพลิดเพลิน หรือจะลองขี่ม้าที่มีคนนำมาไว้บริการก็ยังได้ ขี่ม้าลัดเลาะไปตามชายหาดคิดดูว่ามันจะสุดยอดแค่ไหน
การเดินทาง : อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 164 กิโลเมตร รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่เพชรบุรี ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ -ชะอำมาลงก็ได้
7. หาดเจ้าสำราญ ไปแล้วต้องอยู่นานๆ
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมาแต่สมัยโบราณ มีประวัติเล่ากันมาว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จมาที่นี่ พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงพอพระราชหฤทัยในความงามของหาดนี้มาก ทรงประทับแรมอยู่หลายวัน จนชาวบ้าน เรียกหาดนี้ว่า หาดเจ้าสำราญ ชายหาดแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปพักผ่อนแห่งหนึ่ง มีบรรยากาศที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย มีสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งปูเสฉวน หอย แมงกะพรุน มีที่พักพร้อม มีร้านสะดวกซื้ออยู่ใกล้เคียง สามารถลงเล่นน้ำได้ ในบริเวณใกล้เคียงมีหมู่บ้านชาวประมง ชายหาดแห่งนี้ทรายถูกพัดถมขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีทรายที่ละเอียดมากในส่วนของต้นหาด ที่นี่จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ต้องไปไกลมากและมีความสวยงามมากแห่งหนึ่ง
การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่เพชรบุรี หาดเจ้าสำราญอยู่ห่างจากตลาดเมืองเพชรบุรี 15 กิโลเมตร ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ - เพชรบุรี แล้วต่อสองแถวที่วิ่งระหว่างตัวเมือง - หาดเจ้าสำราญ
8.ทะเลหัวหิน เปี่ยมเสน่ห์ คลาสสิกตลอดกาล
แหล่งพักผ่อนตากอากาศสุดคลาสสิก หาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา น้ำทะเลใสซัดสาดฟองคลื่นกระทืบโขดหินที่กระจายอยู่บริเวณปลายหาดด้านหนึ่งอย่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และนี่เองคือที่มาของชื่อหัวหิน และเมื่อพ้นจากบริเวณนี้ไปก็จะเป็นหาดทรายขาดทอดยาวไปจนเขาตะเกียบเลยทีเดียว หากนึกสนุกจะลองขี่ม้าเดินเล่นตามชายหาดหรือทอดย่างซึมซับเสน่ห์ความงามของบ้านพักตากอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายและเรื่องราวของวันเก่าก็เพลิดเพลินไม่น้อย โดยทางหาดหัวหินมีทางลงอยู่สองจุดด้วยกัน คือ ด้านหน้าโรงแรมโซฟิเทลและบริเวณศาลเจ้าแม่ทับทิมบริเวณถนนนเรศดำริ ซึ่งมีลานจอดรถเล็กๆ ตรงกับแหลมหินหน้าหาดให้บริการฟรีอยู่ด้วย
การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่ จังประจวบคีรีขันธ์ ไม่มีรถส่วนตัว นั่งรถทัวร์หรือรถตู้ กรุงเทพฯ -หัวหิน- ปราณบุรี มาลงที่หัวหินแล้วนั่งรถรับจ้างหรือเดินไปก็ได้ หรือจะนั่งรถไฟ สถานีรถไฟหัวหิน ห่างจากชายหาดหัวไปประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถเดินถึงหาดได้สะดวก
9. ทะเลปราณบุรี พักผ่อนสบายๆ นอนเล่น ฟังเสียงคลื่น
หาดทรายสีน้ำตาลอ่อนทอดยาวกกว่า 7 กิโลเมตร ของหาดปราณบุรี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการนอนพักผ่อนฟังเสียงคลื่น รับลมทะเล หรืออาบแดด และลงเล่นน้ำให้ชื่นฉ่ำหัวใจ เพราะชายหาดที่นี่ยังคงบรรยากาศแบบสบายๆ ไม่พลุกพล่านมากนัก อีกทั้งยังมีบูติกรีสอร์ตสวยเก๋หลายแห่งให้ได้เลือกพักผ่อนตามความพอใจ หากต้องการยืดเส้นยืดสายก็ไปเที่ยวได้ที่หาดเขากะโหลก ในเขตวนอุทยานท้าวโกษา ทางด้านใต้ของชายหาดแห่งนี้มีภูเขาลูกย่อมๆ คล้ายกะโหลก ใครอยากชมวิวเมืองปราณบุรีจากมุมสูง ก็สามารถปีนป่ายไปยังด้านบนได้ และถ้าท้องร้องขึ้นมาก็เลือกชิมอาหารทะเลตามร้านต่างๆ ได้
การเดินทาง: รถส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ อำเภอปากท่อ แล้วแยกเข้าถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) มุ่งหน้าสู่ จังประจวบคีรีขันธ์ ถึงสี่แยกปราณบุรี เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปากน้ำ -ปราณบุรี ตรงไปก็จะถึงชายหาดปราณบุรี ไม่มีรถส่วนตัว มีรถโดยสารและรถตู้ปรับอากาศให้บริการจากกรุงเทพฯ ไปยังสี่แยกปราณบุรี จากนั้นจะมีรถสองแถวโดยสารหรือจักรยานยนตร์รับจ้างให้บริการจากปากน้ำปราณบุรีไปปากน้ำปราณ ซึ่งสามารถเหมาต่อได้

10. บ้านกรูด ชายหาดสีขาวนวล
พอพูดถึงหาดบ้านกรูด นักท่องเที่ยวตัวยกต้องยกนิ้วให้ เพราะชายหาดสีขาวนวลสะอาดตา โค้งมนคล้ายพระจันทร์เสี้ยวแบบชิดน้ำทะเลสีฟ้าครามนั้น ยาวไปไกลตามชายฝั่งพร้อมทิวสนและสวนมะพร้าวอันร่มรื่นกว่า 12 กิโลเมตร ขนานไปกับถนนเลียบหาด เป็นเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาพักผ่อนกันอย่างไม่ขาดสาย ชาวบ้านเล่าว่าแต่เดิมมีต้นมะกรูดขึ้นขึ้นมากมายนั่นเอง ถึงกลายเป็นที่มาของชื่อหาดบ้านกรูด โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือหาดทางด้านเหนือกับหาดทางด้านใต้ มีที่พักและร้านอาหารริมหาดหลายแห่ง แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้สูญเสียความเป็นธรรมชาติและความสงบเลยสักนิด ชุมชนประมงที่แปรอาหารทะเลแห้งเป็นอาชีพ ก็กระจายตัวให้เห็นอยู่ตลอดชายหาด
การเดินทาง: รถส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข4) อำเภอบางสะพานเลี้ยวซ้ายที่ กม. 382 ไปตามถนนเพชรเกษมบ้านกรูด ข้ามทางรถไฟไปประมาณ 9 กิโลเมตร ถึงถนนเลียบหาดบ้านกรูด ไม่มีรถส่วนตัว มีรถโดยสารสายกรุงเทพฯ - บางสะพาน ลงที่แยกบ้านกรูด ขึ้นจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาบ้านกรูด ถ้าขึ้นรถไฟ ต้องลงที่สถานีบ้านกรูด จากนั้นขึ้นจักรยานยนตร์รับจ้าง เข้ามาหาดบ้านกรูดเพียง 1 กิโลเมตร

น้ำมะพร้าว...มีประโยชน์มากกว่าที่คิด...‏

 ' น้ำมะพร้าว' ถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ เพราะต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย
- น้ำมะพร้าวช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย
- น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณสดใส

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการทำดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกค่ะ..
- น้ำมะพร้าว 'สปอร์ตดริ๊งค์' จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ ( Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วยค่ะ 
***น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า น้ำมะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้.. 
***น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือทัอกซินขึ้นในร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าวค่ะ 
***น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้ อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตามค่ะ ควรกินให้หมดในครั้งเดียว ผลไม้แต่ละอย่างจะมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตหรือคุณค่าของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ